การทำ Ads กับ PR ต่างกันยังไง เลือกยังไงให้เหมาะกับธุรกิจ

การตลาดเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการสร้างการรับรู้ให้กับสินค้าและบริการ ซึ่งมีวิธีการที่หลากหลายให้เลือกใช้ เช่น การทำโฆษณา (Ads) และการประชาสัมพันธ์ (PR) แต่หลายคนยังคงสงสัยว่าสองสิ่งนี้แตกต่างกันอย่างไร และควรเลือกใช้แบบไหนให้เหมาะกับธุรกิจ บทความนี้จะอธิบายถึงความแตกต่างระหว่าง Ads และ PR รวมถึงแนะนำวิธีการเลือกใช้อย่างเหมาะสมเพื่อเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจของคุณเติบโตได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Ads และ PR คืออะไร?

Ads (การโฆษณา)

การโฆษณา (Advertising) คือการจ่ายเงินเพื่อซื้อพื้นที่หรือเวลาในสื่อต่าง ๆ เพื่อโปรโมตสินค้าและบริการของธุรกิจ จุดประสงค์หลักของ Ads คือการสร้างการรับรู้ เพิ่มยอดขาย และดึงดูดความสนใจจากกลุ่มเป้าหมาย โดยธุรกิจสามารถควบคุมเนื้อหา เวลา และกลุ่มเป้าหมายที่ต้องการเข้าถึงได้อย่างสมบูรณ์

ตัวอย่างของ Ads

โฆษณาทางโทรทัศน์, โฆษณาบนโซเชียลมีเดีย, โฆษณาบน YouTube หรือ Google Ads

ข้อดีของ Ads

  • ควบคุมเนื้อหาและเวลาในการโปรโมตได้เต็มที่
  • สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างชัดเจน
  • เหมาะสำหรับการสร้างยอดขายระยะสั้น

ข้อเสียของ Ads

  • มีค่าใช้จ่ายสูงในการซื้อสื่อ
  • ความน่าเชื่อถืออาจต่ำ เนื่องจากเป็นสิ่งที่แบรนด์กำหนดเอง

PR (การประชาสัมพันธ์)

การประชาสัมพันธ์ (Public Relations หรือ PR) คือการสร้างความสัมพันธ์และภาพลักษณ์ที่ดีให้กับธุรกิจ ผ่านการสื่อสารไปยังกลุ่มเป้าหมายโดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่โฆษณา PR มักใช้กลยุทธ์ในการสร้างเนื้อหาที่น่าสนใจเพื่อให้สื่อหรือผู้มีอิทธิพลช่วยเผยแพร่ต่อไป

ตัวอย่างของ PR

การจัดงานแถลงข่าว การส่งข่าวประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อมวลชน บทสัมภาษณ์ผู้บริหาร หรือการทำแคมเปญเพื่อสังคม

ข้อดีของ PR

  • มีความน่าเชื่อถือสูง เพราะเป็นการสื่อสารที่มักผ่านสื่อมวลชนหรือช่องทางที่ไม่เกี่ยวข้องกับแบรนด์โดยตรง
  • ไม่มีค่าใช้จ่ายในการซื้อพื้นที่โฆษณาโดยตรง
  • สร้างภาพลักษณ์ระยะยาวให้กับแบรนด์

ข้อเสียของ PR

  • ควบคุมเนื้อหาและการนำเสนอได้น้อย
  • ผลลัพธ์ไม่สามารถวัดผลได้ชัดเจนเท่า Ads
  • เลือก Ads หรือ PR ให้เหมาะกับธุรกิจของคุณ

ธุรกิจขนาดเล็ก – กลาง ควรเน้นอะไร?

สำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง การทำ Ads อาจจะเหมาะสมมากกว่าในระยะเริ่มต้น เนื่องจาก Ads สามารถช่วยสร้างการรับรู้และเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว เหมาะสำหรับการเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือการดึงดูดความสนใจในช่วงโปรโมชั่น อย่างไรก็ตาม เมื่อธุรกิจเริ่มมีความมั่นคงแล้ว PR ก็สามารถช่วยสร้างความน่าเชื่อถือและภาพลักษณ์ที่ดีในระยะยาวได้

  • Ads ใช้เพื่อสร้างการรับรู้เร็ว ๆ ในช่วงแรกของการเปิดตัวสินค้า
  • PR ใช้เพื่อสร้างความสัมพันธ์และภาพลักษณ์ที่ดีเมื่อธุรกิจเริ่มเติบโต

ธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีภาพลักษณ์ชัดเจน ควรใช้ Ads หรือ PR  

สำหรับธุรกิจขนาดใหญ่ที่มีงบประมาณเพียงพอ ควรใช้ทั้ง Ads และ PR ควบคู่กัน Ads จะช่วยในการดึงดูดกลุ่มลูกค้าใหม่และสร้างยอดขายได้ในระยะสั้น ส่วน PR จะช่วยรักษาภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือของธุรกิจในระยะยาว ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดคือธุรกิจ FMCG (Fast-Moving Consumer Goods) ซึ่งใช้ทั้ง Ads ในการกระตุ้นการซื้อและ PR เพื่อเสริมภาพลักษณ์ของแบรนด์ในตลาดAds และ PR ต่างเป็นเครื่องมือทางการตลาดที่มีบทบาทสำคัญในธุรกิจ แต่มีจุดประสงค์และข้อดี-ข้อเสียที่แตกต่างกัน Ads เน้นการสร้างการรับรู้ในระยะสั้นและเพิ่มยอดขายได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่ PR มุ่งเน้นการสร้างภาพลักษณ์และความน่าเชื่อถือในระยะยาว สำหรับธุรกิจขนาดเล็กถึงขนาดกลาง การเริ่มต้นด้วย Ads อาจเป็นตัวเลือกที่เหมาะสม แต่เมื่อธุรกิจเติบโตขึ้น การใช้ PR เพื่อเสริมสร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์กับกลุ่มลูกค้าจะกลายเป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน

คำถามที่พบบ่อย