การย้ายฐานการผลิตครั้งใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ใครได้ ใครเสีย

ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โลกธุรกิจกำลังเผชิญปรากฏการณ์ที่เรียกว่า การย้ายฐานการผลิต (Manufacturing Relocation) ซึ่งเกิดขึ้นอย่างชัดเจนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เมื่อบริษัทข้ามชาติจากสหรัฐฯ จีน ญี่ปุ่น และยุโรป ต่างเริ่มขยับสายการผลิตออกจากจีนมายังประเทศเพื่อนบ้าน เช่น เวียดนาม ไทย อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกัมพูชา

แรงผลักดันเบื้องหลังการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ไม่ใช่เพียงเรื่องของต้นทุนแรงงานอีกต่อไป แต่รวมถึงปัจจัยทางภูมิรัฐศาสตร์ นโยบายการค้า เทคโนโลยี และความพยายามสร้างความยืดหยุ่นของห่วงโซ่อุปทานโลกหลังวิกฤตโควิด สิ่งที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่การเคลื่อนย้ายโรงงาน แต่คือการปรับสมดุลอำนาจทางเศรษฐกิจครั้งใหม่ของภูมิภาคนี้อย่างแท้จริง

ทำไมบริษัททั่วโลกถึงเริ่มย้ายฐานการผลิตออกจากจีน

ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา จีนถือเป็น “โรงงานของโลก” ที่ผลิตสินค้าตั้งแต่เครื่องใช้ไฟฟ้าจนถึงเทคโนโลยีขั้นสูง แต่ความเปลี่ยนแปลงเริ่มชัดเจนขึ้นหลังสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีนในปี 2018 เมื่อการเก็บภาษีนำเข้าสินค้าระหว่างสองประเทศเพิ่มขึ้นหลายเท่า

ต่อมาวิกฤตโควิด 19 ได้เผยให้เห็นอีกจุดอ่อนของระบบห่วงโซ่อุปทานโลก คือการพึ่งพาการผลิตจากจีนมากเกินไป โรงงานหลายแห่งทั่วโลกต้องหยุดการผลิตเพราะชิ้นส่วนจากจีนไม่สามารถส่งออกได้ นับแต่นั้นมา บริษัทข้ามชาติเริ่มพูดถึงคำว่า “China Plus One” หมายถึงการมีฐานการผลิตสำรองไว้นอกจีน เพื่อกระจายความเสี่ยง

นอกจากปัญหาทางภูมิรัฐศาสตร์แล้ว ต้นทุนแรงงานในจีนก็สูงขึ้นต่อเนื่อง การควบคุมภายในประเทศเข้มงวดขึ้น และนโยบายด้านสิ่งแวดล้อมที่เข้มงวดมากขึ้น ทำให้การผลิตบางประเภท เช่น สิ่งทอ รองเท้า หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าเบา เริ่มย้ายฐานมาสู่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็น “จุดรับแรงสั่นสะเทือน” 

ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ถูกจับตามองมากที่สุด เพราะมีจุดแข็งหลายด้าน ทั้งแรงงานจำนวนมาก ค่าแรงที่ยังแข่งขันได้ และตำแหน่งที่ตั้งเชื่อมต่อระหว่างจีน อินเดีย และมหาสมุทรแปซิฟิก

แต่ละประเทศก็มีจุดเด่นเฉพาะตัว เช่น

  • เวียดนาม โดดเด่นเรื่องแรงงานราคาถูกและนโยบายเปิดรับต่างชาติอย่างแข็งขัน ได้รับการลงทุนจากบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ เช่น Samsung, Apple และ Foxconn
  • ไทย มีโครงสร้างพื้นฐานที่พร้อมกว่า โดยเฉพาะอุตสาหกรรมยานยนต์ อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร ซึ่งกำลังปรับตัวสู่ฐานการผลิตสินค้าคุณภาพสูง
  • อินโดนีเซีย มีตลาดภายในประเทศขนาดใหญ่และทรัพยากรธรรมชาติสมบูรณ์ เหมาะกับอุตสาหกรรมพลังงานและเหมืองแร่ เช่น นิกเกิล ซึ่งเป็นวัตถุดิบสำคัญของแบตเตอรี่รถยนต์ไฟฟ้า
  • มาเลเซีย เน้นการผลิตสินค้าขั้นกลาง เช่น ชิปอิเล็กทรอนิกส์และอุปกรณ์เซมิคอนดักเตอร์
  • กัมพูชาและลาว กำลังดึงดูดอุตสาหกรรมสิ่งทอและโรงงานประกอบเบา ที่ต้องการแรงงานต้นทุนต่ำ

ในภาพรวม อาเซียนกำลังกลายเป็น “เส้นเลือดใหม่ของอุตสาหกรรมโลก” ที่รองรับแรงสั่นสะเทือนจากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างเศรษฐกิจโลก

ใครคือผู้ได้ประโยชน์จากการย้ายฐานการผลิตครั้งนี้

ประเทศที่มีความพร้อมด้านโครงสร้างพื้นฐาน การขนส่ง และนโยบายที่เอื้อต่อการลงทุนจะเป็นผู้ได้ประโยชน์หลัก เช่น เวียดนามและไทย ที่สามารถดึงดูดเงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศได้มหาศาลในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา

อุตสาหกรรมที่ได้อานิสงส์มากที่สุดคืออุตสาหกรรมเทคโนโลยีและอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งเป็นหัวใจของเศรษฐกิจยุคใหม่ บริษัทระดับโลกหลายแห่งเริ่มตั้งฐานการผลิตในภูมิภาคนี้ เพื่อกระจายความเสี่ยงจากการพึ่งพาจีนเพียงประเทศเดียว

ในระยะยาว การย้ายฐานการผลิตยังช่วยยกระดับทักษะแรงงานของประเทศในอาเซียน ทำให้เกิดการถ่ายทอดเทคโนโลยีและเพิ่มศักยภาพการแข่งขันในตลาดโลก ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อทั้งภาคเศรษฐกิจและประชาชน

แต่ไม่ใช่ทุกประเทศที่ได้ประโยชน์เท่ากัน

แม้จะมีโอกาสมาก แต่การแข่งขันระหว่างประเทศในภูมิภาคก็รุนแรงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ประเทศที่ขาดโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ถนน ท่าเรือ หรือไฟฟ้าที่มั่นคง อาจเสียโอกาสในการดึงดูดนักลงทุน

นอกจากนี้ ประเทศที่ยังมีระบบราชการซับซ้อน หรือขาดเสถียรภาพทางการเมือง ก็อาจถูกมองว่าเป็นความเสี่ยงที่นักลงทุนไม่อยากเข้าใกล้

ในทางกลับกัน ประเทศที่รับการลงทุนอย่างรวดเร็วเกินไปโดยไม่วางแผน เช่น การพัฒนาเมืองหรือแรงงานที่ไม่ทันต่อความต้องการ อาจเกิดปัญหาสังคมและสิ่งแวดล้อมตามมา เช่น ราคาที่ดินพุ่งสูง การจราจรแออัด และช่องว่างรายได้ที่กว้างขึ้น

การย้ายฐานการผลิตไม่ใช่คำตอบเดียวของการพัฒนาเศรษฐกิจ แต่ต้องมาพร้อมการบริหารจัดการที่รอบคอบ

จีนไม่ได้หายไปจากสมการ แต่กำลังเปลี่ยนบทบาท

แม้หลายประเทศจะย้ายฐานการผลิตออกจากจีน แต่ไม่ได้หมายความว่าจีนจะหมดบทบาทในเศรษฐกิจโลก ตรงกันข้าม จีนกำลังปรับตัวจาก “ฐานการผลิตราคาถูก” ไปสู่ “ฐานนวัตกรรมและเทคโนโลยี” ที่เน้นสินค้าคุณภาพสูงมากกว่า

บริษัทจีนจำนวนมากเริ่มลงทุนในประเทศอาเซียนเอง เช่น การเปิดโรงงานแบตเตอรี่รถยนต์ในไทย การตั้งโรงงานผลิตชิปในมาเลเซีย หรือการร่วมทุนกับบริษัทท้องถิ่นในเวียดนาม สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า จีนไม่ได้ถูกแทนที่ แต่กำลัง “ขยายอิทธิพลทางเศรษฐกิจ” ผ่านการลงทุนโดยตรงในภูมิภาคแทนการผลิตภายในประเทศ

ผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานโลก

เมื่อฐานการผลิตกระจายตัวมากขึ้น โลกจะมีระบบห่วงโซ่อุปทานที่ยืดหยุ่นกว่าเดิม แต่ก็ซับซ้อนขึ้นในเวลาเดียวกัน เพราะการผลิตสินค้าหนึ่งชิ้นอาจต้องผ่านหลายประเทศก่อนถึงมือผู้บริโภค

เช่น สมาร์ตโฟนเครื่องหนึ่งอาจมีการผลิตชิปในมาเลเซีย ประกอบที่เวียดนาม บรรจุภัณฑ์จากไทย และจัดส่งผ่านสิงคโปร์ ซึ่งหมายความว่าความร่วมมือระหว่างประเทศในอาเซียนจะยิ่งสำคัญมากขึ้น

ความซับซ้อนที่เพิ่มขึ้นนี้ก็ทำให้ความเสี่ยงสูงขึ้นเช่นกัน เพราะหากประเทศใดประเทศหนึ่งเกิดวิกฤตทางการเมือง ภัยธรรมชาติ หรือปัญหาแรงงาน ก็อาจส่งผลกระทบต่อทั้งระบบการผลิตทันที

อนาคตของอาเซียนในยุคหลังการย้ายฐานการผลิต

เอเชียตะวันออกเฉียงใต้กำลังอยู่ในช่วงเวลาที่สำคัญที่สุดของประวัติศาสตร์เศรษฐกิจภูมิภาค เพราะนี่คือโอกาสในการยกระดับจาก “ฐานแรงงานราคาถูก” สู่ “ศูนย์กลางการผลิตระดับโลก” ที่มีนวัตกรรม เทคโนโลยี และความยั่งยืนเป็นหัวใจ

แต่การจะไปถึงจุดนั้นได้ ต้องอาศัยการพัฒนาพร้อมกันทั้งด้านการศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และกฎระเบียบที่ทันสมัย รวมถึงความร่วมมือระหว่างประเทศในภูมิภาคเพื่อสร้างเครือข่ายห่วงโซ่อุปทานที่แข็งแรงและยืดหยุ่น

ในโลกที่การค้าไม่ได้ขับเคลื่อนด้วยต้นทุนเพียงอย่างเดียวอีกต่อไป แต่ขับเคลื่อนด้วย “ความมั่นคงและความยืดหยุ่น” อาเซียนกำลังกลายเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ที่โลกไม่อาจมองข้าม

การย้ายฐานการผลิตครั้งนี้จึงไม่ใช่การแข่งขันระหว่างประเทศว่าใครได้หรือเสียมากกว่าใคร แต่คือการเปลี่ยนโครงสร้างเศรษฐกิจของทั้งภูมิภาค ที่จะกำหนดว่าในอีก 10 ปีข้างหน้า ใครจะเป็น “ศูนย์กลางใหม่ของโลกอุตสาหกรรม”